วิตามินดีเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมากกว่าที่หลายคนคิด ไม่ใช่แค่เพื่อกระดูกแข็งแรง แต่ยังเชื่อมโยงกับระบบภูมิคุ้มกัน สมอง หัวใจ และแม้กระทั่งการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ “วิตามินดี” ให้ลึกยิ่งขึ้น รวมถึงความสำคัญของการตรวจระดับวิตามินดี และเหตุผลที่คนยุคใหม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
วิตามินดีคืออะไร?
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และมี 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
วิตามินดี2 (D2 หรือ Ergocalciferol): พบในพืชและอาหารเสริมบางชนิด
วิตามินดี3 (D3 หรือ Cholecalciferol): ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้จากผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดด และยังพบในอาหารบางชนิด เช่น น้ำมันตับปลา ไข่แดง หรือปลาทะเล
วิตามินดีจะถูกเปลี่ยนรูปในตับเป็น 25(OH)D (25-hydroxyvitamin D) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ตรวจวัดในเลือด และจากนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบออกฤทธิ์ในไตคือ 1,25(OH)₂D (1,25-dihydroxyvitamin D)
วิตามินดีมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?
ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส: ป้องกันโรคกระดูกพรุน กระดูกบาง หรือในเด็กคือโรคกระดูกอ่อน (Rickets)
สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน: มีการศึกษาชี้ว่า วิตามินดีช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจ เช่น ป้องกันหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
ส่งผลต่อสุขภาพสมองและอารมณ์: ระดับวิตามินดีที่ต่ำมีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์
ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
มีผลต่อการป้องกันมะเร็ง: มีงานวิจัยบางส่วนชี้ว่าวิตามินดีอาจมีบทบาทในการลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงขาดวิตามินดี?
แม้ประเทศไทยจะมีแสงแดดตลอดทั้งปี แต่คนไทยจำนวนมากกลับมีระดับวิตามินดีต่ำ สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่:
การหลีกเลี่ยงแสงแดด (ใช้ครีมกันแดด / อยู่ในอาคาร)
การสวมเสื้อผ้าคลุมมิดชิด
อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้สังเคราะห์วิตามินดีได้น้อยลง
โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคไต
การรับประทานอาหารที่ไม่หลากหลาย
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยกว่า 60% มีระดับวิตามินดีต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
การตรวจวิตามินดี (Vitamin D Test)
การตรวจวัดระดับวิตามินดีในเลือดจะช่วยให้คุณรู้ว่าในร่างกายมีเพียงพอหรือไม่ โดยการตรวจจะใช้ค่า 25(OH)D ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกระดับวิตามินดีสะสมในร่างกาย
ค่าระดับวิตามินดีในเลือด | ความหมาย |
---|---|
< 20 ng/mL | ขาดวิตามินดี (Deficiency) |
20–30 ng/mL | ไม่เพียงพอ (Insufficiency) |
30–50 ng/mL | ระดับปกติ (Sufficient) |
> 100 ng/mL | สูงเกินไป อาจเป็นอันตราย (Toxic) |
แนะนำ: ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่ใช้ชีวิตในร่ม
จะเสริมวิตามินดีอย่างไรให้ปลอดภัย?
รับแสงแดดอย่างเหมาะสม: ประมาณ 10–15 นาที/วัน ช่วงเวลา 8.00–10.00 น. หรือตอนบ่ายแก่ ๆ โดยไม่ทาครีมกันแดดบริเวณแขน-ขา
รับประทานอาหารที่มีวิตามินดี: เช่น ปลาทะเล ไข่แดง ตับ และนมเสริมวิตามินดี
การเสริมด้วยอาหารเสริม (Supplement): ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้รับวิตามินดีเสริม โดยปริมาณจะพิจารณาตามระดับที่ตรวจวัดได้ และความต้องการเฉพาะบุคคล
บทสรุป
วิตามินดีเป็นมากกว่าแค่วิตามินเพื่อกระดูก เพราะมันมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญ สุขภาพหัวใจ และอารมณ์ของเรา การตรวจระดับวิตามินดีจึงเป็นการดูแลสุขภาพเชิงลึกอย่างหนึ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะในแนวทาง Preventive Medicine ที่เน้นการป้องกันก่อนเกิดโรค
หากคุณสนใจตรวจระดับวิตามินดี หรืออยากปรึกษาว่าควรเสริมหรือไม่ คลินิกของเรามีบริการตรวจเฉพาะทาง พร้อมให้คำแนะนำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ